1. กองทุนประกันสังคม
นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างพร้อมกับขึ้นทะเบียนลูกจ้าง
เป็นผู้ประกันตน ภายใน 30 วัน
และเมื่อมีการรับลูกจ้างใหม่เพิ่มขึ้นต้องแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างใหม่ภายใน 30 วัน เช่นกัน นายจ้างจะต้องหักเงินสมทบในส่วนของลูกจ้างทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างและนำส่งเงินสมทบส่วนของนายจ้างในจำนวนเท่ากับที่ลูกจ้างทั้งหมดถูกหักรวมกัน
พร้อมจัดทำเอกสารตามแบบ สปส. 1-10 ส่วนที่ 1 และ สปส. 1-10 ส่วนที่ 2 หรือจัดทำข้อมูลลงแผ่นดิสเก็ต หรือส่งทางอินเตอร์เน็ต
โดยนำส่งสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด ด้วยตนเอง
หรือทางไปรษณีย์ เป็นเงินสดหรือเช็ค ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต
สาขาในจังหวัดที่สถานประกอบการตั้งอยู่

การนำส่งเงินสมทบมี 2 วิธีคือ
1. กรอกแบบฟอร์มด้วยตนเอง
นำส่งเงินด้วยแบบ สปส. 1-10 (ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2) โดยกรอกรายละเอียดในแบบ สปส.1-10 (ส่วนที่ 1) ให้ครบถ้วนถูกต้อง
และกรอกรายละเอียดในแบบ สปส.1-10 (ส่วนที่ 2) ประกอบด้วย
- เลขประจำตัวประชาชน
ต้องกรอกให้ครอบถ้วนทุกราย
- ชื่อ-ชื่อสกุลของผู้ประกันตนพร้อมคำนำหน้าชื่อที่ชัดเจน
- ค่าจ้างให้กรอกค่าจ้างตามที่จ่ายจริงกรอกรายงานเงินสมทบที่นำส่ง
โดยคำนวณเงินสมทบค่าจ้างใน
(3) หากได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 1,650 บาท ให้คำนวณจาก 1,650 บาท
แต่ถ้าได้รับค่าจ้างเกิน 15,000 บาท
โดยคูณกับอัตราเงินสมทบที่ต้องนำส่ง
สำหรับเศษของเงินสมทบที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าสิบสตางค์ขึ้นไปให้ปัดเป็หนึ่งบาท
ถ้าน้อยกว่าให้ปัดทิ้ง.
2. นำส่งเงินสมทบด้วยสื่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยกรอกรายละเอียดในแบบ
สปส. 1-10 (ส่วนที่ 1) ให้ครบถ้วนถูกต้อง และจัดทำข้อมูลตามแบบ สปส. 1-10 (ส่วนที่ 2) ในสื่อข้อมูล (Diskette) หรือส่งผ่านทาง Internet
ขอรับโปรแกรมหรือ Format ข้อมูลเงินสมทบได้ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่ง
หรือ Download ได้ที่ เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม
กรณีสถานประกอบการมีสาขาและประสงค์ยื่นรวมให้จัดทำแบบ
สปส. 1-10/1 ซึ่งเป็นใบสรุปรายกรแสดงการส่งเงินสมทบของแต่ละสาขาที่ยื่นพร้อมแบบ
สปส. 1-10 ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ของแต่ละสาขา
นำส่งเงินสมทบ สำหรับค่าจ้างประจำเดือนจะต้องนำส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยนำส่งที่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
จำกัด (มหาชน) หรือสำนักงานประกันสังคมทุกแห่ง
ที่สถานประกอบการตั้งอยู่หรือชำระเงินสมทบด้วยระบบ e-payment ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารซิตี้แบงค์ จำกัด
(มหาชน) ธนาคารซูมิโตโมมิตซุย คอร์ปอเรชั่น จำกัด และธนาคารมิซูโฮ คอร์ปอเรต จำกัด
ที่ บริการอิเล็กทรอนิกส์
สำนักงานประกันสังคม
กรณีนายจ้างกรอกแบบแสดงการส่งเงินสมทบ (สปส.1-10) ไม่ถูกต้องครบถ้วนพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้นายจ้างกรอกแบบรายงานดัง
กล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน
หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามมีความผิดฐานขัดคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากนำส่งเงินสมทบไม่ทันหรือส่งไม่ครบนายจ้างจะต้องรับผิดชอบจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ
2 ต่อเดือน
ของจำนวนเงินที่ไม่ได้ส่งหรือจำนวนเงินที่ขาดอยู่
และจะต้องไปชำระที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่หรือสำนักงาน
ประกันสังคมจังหวัดเท่านั้น
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและข้อควรรู้เกี่ยวกับกองทุนประกันสังคม
สิทธิประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม เช่น กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ
กรณีเสียชีวิต กรณีชราภาพ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประกันสังคม โทร. 1506
2. กองทุนเงินทดแทน
กองทุนเงินทดแทนมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกองทุนในการจ่ายเงินทดแทนนายจ้างให้แก่ลูกจ้าง
ซึ่งประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือตายเนื่องจากการทำงาน
หรือป้องกันรักษาผลประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือเจ็บป่วยเป็นโรค
ซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงาน หรือโรคซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง
โดยให้นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างทำงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนลูกจ้าง ซึ่งหมายถึง
ผู้ซึ่งทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร
แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย
** นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนภายใน 30 วัน **

การเรียกเก็บเงินสมทบและการคำนวณเงินสมทบ
- ให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบเป็นรายปี
- เงินสมทบให้คำนวณจากค่าจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างทั้งปี
คนละไม่เกิน 240,000
บาทต่อปี
- กำหนดอัตราเงินสมทบตามความเสี่ยงภัยของกิจการของนายจ้าง
- เมื่อชำระเงินสมทบติดต่อกัน 3 ปีที่ 4
จะคำนวณหาอัตราการสูญเสีย
เพื่อหาค่าอัตราเงินสมทบตามประสบการณ์ และนำมาเรียกเก็บในปีที่ 5 หากนายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีความปลอดภัยในการทำงานจะได้รับการลดอัตราเงินสมทบ
หากไม่ดูแลเรื่องความปลอดภัยจะต้องถูกต้องเพิ่มอัตราเงินสมทบ
การเพิ่มหรือลดจะคิดเพิ่มลดจากอัตราเงินสมทบหลักของนายจ้าง
- นายจ้างที่ได้รับอนุญาตให้ผ่อนชำระเงินสมทบเป็นงวด
จะต้องจ่ายเงินฝากไว้จำนวนร้อยละ 25 ของเงินสมทบโดยประมาณทั้งปีภายในเดือนมกราคมและจ่ายเงินสมทบเป็นรายงวด
4
งวด ภายในเดือนเมษายน กรกฎาคม ตุลาคม
และมกราคมของปีถัดไป
- ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีนายจ้างต้องแจ้งจำนวนค่าจ้างทั้งหมดของปีที่ล่วงมาแล้วที่จ่ายจริงให้แก่ลูกจ้างตามแบบที่กำหนดเพื่อคำนวณเงินสมทบที่ถูกต้องและนำส่งเงินสมทบที่ชำระต่ำไปภายในวันที่
31
มีนาคม ของทุกปี
เงินเพิ่ม: กรณีที่นายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบภายในกำหนด หรือจ่ายไม่ครบ
ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 3 ต่อเดือนของเงินสมทบที่ค้างชำระ
การคืนเงินนายจ้าง: นายจ้างที่จ่ายเงินสมทบ
หรือเงินเพิ่มเกินกว่าความเป็นจริงจากสาเหตุต่าง ๆ
ให้เจ้าหน้าที่แจ้งให้นายจ้างทราบ เพื่อมารับเงินส่วนที่เกินคืนไป
เงินทดแทน: หมายถึง เงินที่จ่ายเป็นค่าทดแทนการทำงาน ค่ารักษาพยาบาล
ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานและค่าทำศพ โดยมี 4 ประเภท ได้แก่
- ค่าทดแทนกรณีลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้ติดต่อกันเกิน
3
วัน จากการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
- ค่าทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะบางส่วนของร่างกาย.
- ค่าทดแทนกรณีทุพพลภาพ
- ค่าทดแทนกรณีตายหรือสูญหาย
สิทธิได้รับเงินทดแทนภายหลังการสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง:
กรณีที่การเจ็บป่วยเกิดขึ้นภายหลังการสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างให้นายจ้างยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนภายใน
2 ปี นับแต่วันที่ทราบการเจ็บป่วย
นายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ข้อบังคับต่าง ๆ รวมทั้งการเปิดเผยข้อเท็จจริงของนายจ้างที่พึงสงวนไว้
ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินทดแทนอาจมีโทษทั้งจำและปรับ
ศึกษาข้อมูลและข้อควรรู้เกี่ยวกับกองทุนเงินทดแทน
สิทธิประโยชน์ของกองทุนเงินทดแทน เช่น กรณีทุพพลภาพ เนื่องจากการทำงาน
กรณีประสบอันตรายหรือเป็นโรคเนื่องจากการทำงาน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประกันสังคม โทร. 1506
ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด 29 กุมภาพันธ์ 2559